เที่ยว LA ในวันเดียว
ทุกๆ ปีผมจะต้องเดินทางไปร่วมงาน NAMM งานแสดงเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อพบปะกับผู้ผลิต ชมของใหม่ๆ เจอศิลปิน และสั่งของ งานเขาจะมี 4 วันติด แต่ทุกครั้งผมจะเลือกหนึ่งวันที่จะไม่ไปร่วมงาน แล้วออกมาตระเวณละแวก LA สักวัน และนี่คือที่ผมจะมาเล่าให้ฟัง ว่าหนึ่งวันใน LA ผมทำอะไรได้บ้างครับ สำหรับจุดแรกเลย ตื่นขึ้นมาถ้าไม่ได้มาคนเดียว มีทีมงานมาด้วย ผมมักจะมาเริ่มที่นี่ โรงงานผลิตกีตาร์ Fender ครับ คิดว่าหลายๆ ท่านน่าจะคุ้นเคยกับแบรนด์กีตาร์นี้ดี เพราะมันเปรียบเสมือนเบนซ์ของกีตาร์เลยก็ว่าได้ ด้วยรูปร่างสุดคลาสสิค ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยุค 50's Fender ครองใจคนกีตาร์มาหลายยุคสมัย และจะอยู่ต่อไปอีกแสนนาน หากไม่ระเบิดทำลายกันจนหมดอารยธรรมเสียก่อน เมื่อผมมากับคนที่ชอบกีตาร์ ผมก็จะมาที่นี่ ผมเองแม้มาหลายที แต่มาแต่ละครั้งก็ได้อะไรใหม่ๆ ทั้งในแง่ความรู้ ความคิด และที่ของระลึกกลับมาทุกทีครับ
ในโรงงานเขาจะให้ใส่หูฟัง ไกด์ซึ่งเป็นพนักงานอาวุโส ก็จะเดินบรรยายไป บางทีเราเดินห่างจากเขา เราก็ไม่พลาดการได้ยิน เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่แจ่มมากสำหรับการทัวร์โรงงาน ผมก็มักจะเลือกเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเดินตามเขานัก แต่ก็ออกนอกบริเวณไม่ได้มาก เนื่องจากเขากันพื้นที่ไว้เป็นอย่างดีครับ
เพื่อความกระชับ ผมรวบยอดภาพไว้ด้วยกันเลย หากอยากชมภาพใหญ่กดเข้าไปดูครับ เขาพาเราเดินชมตั้งแต่เริ่มประกอบ ไปจนถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้า การทำสี การเคลือบ เลยใส่สาย จนพร้อมขาย ที่โณงงานนี้จะไม่มีการตัดไม้ เพราะเขาส่งไปตัดที่ Mexico แล้วนำไม้ที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว มาประกอบ โดยกีตาร์ที่นี่จะเป็นรุ่น Made In USA ทั้งหมด ซึ่งผมเห็นคนประกอบส่วนใหญ่ที่นี่ก็คน Mexican นี่แหละครับ แต่มาอยู่ที่อเมริกา แต่คิดว่างานน่าจะดีกว่า ด้วยวัสดุและการควบคุมคุณภาพ ส่วนใครอยากให้ฝรั่งจริงๆ ที่พูดภาษาอังกฤษทำ ก็ต้องไปดูที่ไลน์การผลิตไฮเอนด์ของเขา ที่เรียกว่า Custom Shop ครับ อันนั้นคนสร้างจะมีคนเดียว ไม่ได้แบ่งเป็นคนหนึ่งทำอย่างหนึ่ง แล้วส่งไปเรื่อยๆ ราคาก็สูงขึ้นตามความขลังครับ
คนชอบ Fender มาที่นี่จะฟิน เพราะแค่ปลูกต้นไม้ เขายังปลูกกันแบบนี้
เสร็จจากทัวร์โรงงานยังไม่เที่ยงเลย เพราะเลือกไปทัวร์รอบแรก พร้อมโรงงานเปิด ทำให้มีเวลาลุยอีกเยอะ ผมขับรถเข้าไปยังตัวเมือง LA โดยมีเป้าหมายว่าจะแวะทานแฮมเบอร์เกอร์เจ้าดัง In & Out ก่อน
นี่เลยครับ ร้านแฮมเบอเกอร์ในตำนาน ที่มีมนต์ขลังตรงไอเทมลับนอกเมนู ทำให้คนสั่งสนุก เหมือนเราเก๋ารู้รหัสลับในการสั่ง เช่นสั่งว่า Animal Style, Protein Style, 3x3, 4x4, Double Meat ก็จะได้เบอร์เกอร์แปลกออกไปจากปกติ แต่ที่ผมชอบสุดคือการทำเฟรนช์ฟรายของเขา ที่เอามันฝรั่งสดๆ ใหม่ๆ มาใส่เครื่องกระแทกให้ออกมาเป็นชิ้นๆ กันต่อหน้า แล้วค่อยทอด ได้ของสดใหม่กินกัน จากการสังเกตุเห็นว่าร้านเขาคนเข้าเต็มตลอดทุกทีที่มา
ขอบอกเลยว่าแค่กลิ่นที่มันลอยมา ก็ทำให้คนที่ชักเริ่มห่วงสุขภาพอย่างผม เลิกสนใจว่ามันจะมีไขมัน หรือเป็นอาหารจั๊งค์อะไร มีแต่จะรอให้ถึงคิวของผม จะได้กัดเจ้าเบอร์เกอร์ที่ผมว่ามัน Juicy ที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา ข้อดีของเขาคือ เขามีการระบุให้ทราบด้วยว่า เมนูอะไรมีแคลลอรี่เท่าไหร่ ทำให้คนที่อยากควบคุมอาหารได้ทราบว่าทำร้ายร่างกายตัวเองไปแค่ไหน ซึ่งพอมาดูจริงๆ มันก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก
เป็นไงครับ เวลาจะกิน ต้องอ้าปากโตๆ แล้วจัดทุกอย่างเข้าไปในปากให้หมด ตามด้วยเฟรนช์ฟรายที่สดกว่านี้คงไม่มีแล้ว อร่อยเหาะครับ ผมมาทีไรก็ต้องมาทำร้ายร่างกายที่นี่ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง LA
อิ่มท้องแล้วได้เวลาไปต่อ ผมเลือกไปที่ La Brea Tar Pits จากคำแนะนำของคุณพลแห่งร้าน Sweet Sound ที่ๆ มีแต่กีตาร์ดีๆ และแอมป์มันส์ๆ ที่นี่แต่ก่อนเป็นบ่อโคลนดูด เหล่าสรรพสัตว์ดึกดำบรรพ์ จำพวกเสือเขี้ยวดาบ ช้างแมมมอธ และสัตว์อื่นๆ แปลกๆ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้มาพลาดพลั้งตกลงมาตายที่นี่มากมาย เวลาผ่านไปจากโคลนกลายเป็นหิน มันเลยกลายเป็นที่รักษาซากสัตว์เหล่านั้นอย่างดี ให้คนรุ่นหลังขุดขึ้นมาศึกษากันต่อไป
ภาพสมัยที่แรกเริ่มค้นพบที่นี่
จำลองให้เห็นว่าเจ้าแมมมอธมีอันลงไปนอนแน่นิ่งในโคลนดูดนี้ได้อย่างไร
จากที่จอดรถ เดินมาเรื่อยๆ ตามรอยเท้าไปไม่หลงแน่นอน จริงๆ ยังไงก็ไม่หลงแต่ผมไม่รู้จะเขียนอะไรประกอบภาพนี้ครับ :)
ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ อาคารแลดูถึกๆ เพราะมีมานานแล้ว ตอนผมไปมีแต่เด็กๆ มาทัศนศึกษา คงไม่มีเด็กแนวหรือฮิปสเตอร์มาเที่ยวที่แบบนี้กันหรอกครับ ต้องมีความเนิร์ดนิดๆ แบบผม
แมมมอธที่เขาขุดขึ้นมาได้ หนึ่งในของดีที่มีแสดงโชว์อยู่เต็มไปหมด
ดูกระดูกแล้ว มาดูตัวเป็นๆ กันบ้าง สัตว์พวกนี้ตอนนี้ไม่ได้เกินอยู่บนโลกแล้ว แต่ด้วยซากของมัน ทำให้เราพอได้เห็นหน้าตามันได้ในปัจจุบัน
การสำรวจขุดค้นยังคงดำเนินไป และนี่คือการเปิดให้สัมผัสการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเผาเขา กรรมวิธีเอากระดูกออกจากหิน และนำมาต่อให้เป็นตัว ทำอย่างไรเขามีให้ชมถ้าคุณมีเวลาพอ
ภาพซ้ายคืองาช้างแมมมอธที่ยังติดอยู่ในหิน(ที่แต่ก่อนเป็นโคลน) ส่วนทางขวาคือรองเท้าไนกี้รุ่นใหม่ ไม่ใช่! มันคือกะโหลกเสือเขี้ยวดาบ(มั๊ง)ครับ
นี่คือหลุมขุดหลุมหนึ่งที่เขาเปิดให้เข้าชม แต่พอดีตอนผมไปเป็นวันที่เขาไม่มีการขุดที่นี่
ทั้งหมดที่มานี้ ที่ๆ ผมใช้เวลาไปมากที่สุด น่าจะเป็นการยืนดูนกนางนวลคุ้ยหาอาหารในถังขยะ มันมากันหลายตัว คุ้ยทุกถัง เป็นภาพที่ผมไม่คุ้นตานัก เพราะปกติจะเป็น หมา หนู และแมว ที่ทำหน้าที่นี้ แต่นี่สัตว์ที่ผมคิดว่ามันไฮโซ เป็นแนวบินฉกปลาจากทะเลกิน กลับมาหาเศศฮอทดอกกินซะงั้น
ต่อเนื่องด้วยการไปเสพศิลปะที่ LACMA Los Angeles County Museum of Art ครับ แม้ผมจะเคยไปเยือนพิพิธภัณฑ์ที่แหล่มกว่าที่นี่มาแล้ว แต่ในแต่ละที่ก็มีทีเด็ดต่างกันไป และของอย่างไรมันก็คนละชิ้นกัน ที่นี่อาจไม่ใหญ่มาก แต่ก็ตอบโจทย์ของคนที่สนใจงานศิลปะระดับโลกได้ ที่นี่ตอนแรกผมคิดว่าเข้าฟรี เดินเข้าไปเลย เพียงเสี้ยววินาทีพี่ยามก็เข้ามา แล้วบอกให้ไปซื้อตั๋ว ผมเองไม่ได้จะโกง เลยรู้สึกอายมาก หลังจากไปสอยตั๋วมาแล้ว เขาจะมีสติ๊กเกอร์แปะให้ที่เสื้อ เวลาเดินผ่านพี่ยามคนเดิม ผมก็แอ่นอกแล้วเอามือตบด้วยความภูมิใจ ว่าเป็นผู้สนับสนุนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยคน พี่ยามยกนิ้วโป้งให้ เสมือนผมเป็นโจรกลับใจ ผมคิดในใจ"อะไรวะ?"
ไปคนเดียว ก็ต้องถ่ายภาพตัวเองสะท้อนกระจกออกมา แต่ก็มีรายละเอียดศิลปะที่แสดงที่นี่มาให้ดูด้วยครับ
จุดแรกที่ไปชมคืออียิปต์ เขาก็มีครบทั้งมัมมี่ โรงศพ และนานาของโบราณจากอียิปต์ ผมจะไม่เล่าอะไรมากมายนะครับ ชมภาพไปพลางๆ
โดยส่วนตัวแล้วผมชอบศิลปะของ Assyrian หรือ Sumerian มากกว่าอียิปต์ มนต์ขลังของ Mesopotemia สำหรับผม ผมว่ามันขลังกว่าอียิปต์เสียอีก ป่านนี้ไม่รู้ ณ สถานที่จริง จะโดนทำลายไปแค่ไหนแล้ว ดีที่ฝรั่งไปหอบมาเก็บตามพิพิธภัณฑ์หลายแห่งทั่วโลก ไม่งั้นคงโดนคนบ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งทำลายจนหมดไป
ศิลปะจากยุคกลางไม่เคยทำให้ผิดหวัง ใครคอฮาร์ดคอร์มาหาชมได้จากภาพทางศาสนาโบราณพวกนี้
ของไทยเราก็มีแสดงอยู่นะครับ
ปิดท้ายด้วย Modern Art เท่ๆ ครับ จริงๆ เขามีอะไรให้ดูให้ชมมากมาย แต่หากนำมาลงหมดกลัวท่านจะเบื่อเสียก่อน เอาเป็นว่าชมพอเป็นสังเขปแล้วกันครับ
ปิดท้ายที่ร้านอาหารฮาวาย ที่มาทีไรเพื่อนผมก็จะมาจัดมินิคอนเสิร์ตที่นี่ทุกที ร้านตั้งอยู่ในโรงแรมญี่ปุ่นชานเมืองแอลเอ ถ้าให้บอกกันตรงๆ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ นอกเสียจากมิตรภาพที่ผมมาหามัน
หน้าตาอาหารครับ ง่ายโคตรๆ และอเมริกันโคตรๆ นั่นคือข้าวตักมาสองสคูปใหญ่แบบไอติม ไก่ทอด และชิลลี่ มันคืออาหารกากๆ ที่หากเคยกินเป็นประจำแล้วไม่ได้กินนานๆ จะโหยหาจนต้องสั่งมากินอีก ท้องอิ่มแล้วก็ขอจบการเดินทางหนึ่งวันในแอลเล ตามสไตล์ผมเอง มา ณ ที่นี้ครับ